วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559
วันพุธที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2558
แอบเล่าก่อน : สี่สถานที่สวยงามของคุมะมง
(เขียนและแปลจาก Mappuru นิตยสารท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น โดย ARARESAMA ทั้งหมด)
แอบเล่าก่อนไป(เล่า)จริง
สี่สถานที่อันโด่งดังของจังหวัดคุมาโมโต้ที่ได้เกริ่นไปในตอนต้น
ที่มีผลทำให้คุมาโมโต้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น
ก็คงไม่พ้น อะโซะซัง ภูเขาไฟลูกใหญ่กับอาณาบริเวณที่กว้างขวาง ฮิโตะโยชิ
เมืองแห่งสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ผลิ คุมาโมโตะ
เมืองแห่งประวัติศาสตร์ ปราสาทหินแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และ อามาคุสะ
แหล่งรวมอารยธรรมซีกโลกตะวันออกกับซีกโลกตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน เมืองสวรรค์ของผู้ชื่นชอบทะเล
ภูเขา หมู่แมกไม้ และอากาศบริสุทธิ์สบาย
อะโซะซัง
ดินแดนแห่งภูเขาไฟที่มีความหลากหลายไปด้วยนานาสรรพสิ่งมีชีวิต ทั้งต้นไม้และสัตว์
มีธรรมชาติคลอบคลุมบริเวณโดยกว้าง
เพราะตั้งอยู่บนแผ่นของเปลือกโลกที่เคยมีการเคลื่อนไหวแล้วปะทุออกมาเมื่อหลายหมื่นปีก่อน
ทำให้มีชื่อเสียงด้านอาหารการเพาะปลูก (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Kumamoto
หนึ่งในเจแปน)
ตลอดจนการท่องเที่ยวที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ
ฮิโตะโยชิ
เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีอายุถึง 700 ปี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดที่น้อยคนนักให้ความสนใจโดยเฉพาะนักท่องเที่ยว
แต่เพราะเป็นคิวชู ดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอทางประวัติศาสตร์
ทำให้หลายคนเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง
นอกจากใบไม้และหุบเขาที่ลึกที่สุด ใจกลางของเกาะคิวชูแล้ว
ก็ไม่ควรพลาดความท้าทายบนแม่น้ำคุมะ ซึ่งอยู่ระหว่างเขตเมืองยาสุอิชิโระและฮิโตะโยชิด้วยการล่องแพท้าความเร็วและความเย็นของสายน้ำเพื่อชมธรรมชาติ
คุมาโมโต้
ศูนย์กลางของจังหวัดเปรียบเหมือนเมืองหลวงที่มีความงดงาม
มีอดีตที่ยาวนานนับตั้งแต่สมัยเอโดะที่ได้เริ่มให้มีการนำหินแกรนิตจำนวนถึง
5,400,000 ก้อน มาก่อร่างสร้างตัวเป็นปราสาทอันโด่งดังในปัจจุบันนี้
แถมด้วยระหว่างทางที่ไปยังตัวปราสาท ยังมีร้านรวงเรียงรายเพิ่มเข้ามา
ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นของฝากที่รอให้เหล่านักท่องเที่ยวเข้าไปจับจองเพื่อเป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมอันงดงามจากดินแดนแห่งนี้
อามาคุสะ
เมืองทางใต้อีกเมืองหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเกาะ
มีอาณาเขตกว้างขวางที่ติดกับทะเลและมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกถึง120เกาะ
ซึ่งเชื่อมด้วยสะพานอีกถึง 5 สะพานในการเชื่อมระหว่างเกาะกับเกาะ เกาะกับแผ่นดินใหญ่ที่รอให้เราได้ข้ามไปเยือนความงดงามกับกลิ่นอายแห่งท้องทะเล
สวรรค์แดนใต้ของเมืองน้องหมีแห่งนี้...
เรื่องเล่า กับ ของฝาก
(เขียนและแปลจาก Mappuru นิตยสารท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น โดย ARARESAMA ทั้งหมด)
เรื่องเล่า กับ ของฝาก
เมื่อไปเที่ยวที่ไหนก็ย่อมต้องมีของฝากติดไม้ติดมือกลับไปฝากคนทางบ้านหรือเพื่อนฝูงกันเป็นธรรมดา
และเรื่องจริงที่ว่า ทุกคนย่อมชอบของฝาก (กับคนที่เป็นฝ่ายรับล่ะนะ)
เพราะนอกจากคนซื้อซึ่งบางทีก็เครียดเหมือนกันเพราะไม่รู้จะซื้ออะไรให้ดี
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่มักจะพบกันบ่อยก็คือ คนซื้อดันเที่ยวเยอะไปหน่อย
จนตังค์นี่ถ้าเหลือได้ถือว่าเก่งมากทีเดียว
ก่อนจบในครั้งนี้เราจึงขอลาไปด้วยของฝากที่ทั้งอร่อย ทั้งถูก
ที่สำคัญยังได้กลิ่นของความเป็นจังหวัดคุมาโมโต้กลับไปฝากถึงมือพ่อแม่พี่น้องซึ่งกำลังรอคอยอยู่ด้วยอย่างมีความหวัง
ของฝากที่ว่านี้ก็คือ โมจิ...
โมจิ
ของที่นี่ถูกเรียกกันว่าเป็น Kosode
ที่เหมือนกับชื่อของเสื้อคลุมกิโมโนของญี่ปุ่น เจ้าโมจิตัวนี้ไม่เหมือนโมจิทั่วไปของญี่ปุ่น
หรือไม่เหมือนโมจิที่บ้านเราหรอกนะ
เพราะตัวแป้งของมันทำมาจากข้าวของคุมาโมโต้กันเลยทีเดียวเชียว
มีเรื่องเล่าสนุกๆ
ที่พอฟังๆไปก็คลับคล้ายคลับคลายังกับเหมือนเรื่องเล่าของไทยสักเรื่องหนึ่ง
ที่จังหวัดนี้ก็มีไม่แพ้กัน เรื่องมีอยู่ว่า ที่เมืองอูโตะ
(อยู่ทางทิศตะวันตกของจังหวัด) เมื่อครั้งสมัยเอโดะนั้น
มีเจ้านายท่านหนึ่งได้เดินทางมายังหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองอูโตะเข้าพอดี
ท้องเกิดร้องจึงเข้าไปในร้านซุปดันโงะข้างทาง (ซุปดันโงะเป็นอย่างไร
โปรดดูรายละเอียดได้ที่ 5 อาหารท้องถิ่นยอดฮิตของชาวคุมาโมโต้)
ปรากฏว่าท่านไม่มีตังค์ติดตัวมาซักกะบาท
ท่านก็เลยหยิบแป้งข้าวที่พกมากับชุดกิโมโนของท่าน แทนที่จะหยิบเงินออกมา
อย่างที่คนญี่ปุ่นนิยมเก็บไว้ในเสื้อ แล้วท่านก็เริ่มนวดแป้งนั้น นวด นวด...
สรุปท่านได้กินซุปดันโงะรึเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อพอไปถึงปราสาท
เจ้าของร้านซุปดันโงะเกิดติดใจอะไรบางอย่างในตัวแป้งข้าวที่นวดๆแล้วนั้น
จึงได้เดินทางไปพบท่านที่ปราสาทเพื่อขอวิธีการทำทันที
จากนั้นมาจึงได้เกิดการทำขนมดังโงะขึ้น
และเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย รวมถึงโคโซเดะโมจินี้ด้วยก็เป็นส่วนหนึ่งในขนมรสชาติหวานที่ทำจากแป้งข้าวเช่นเดียวกับดังโงะ
และที่อูโตะนี้เองจึงมีของฝากที่มาจากที่มาอันน่าสนใจ ที่มีชื่อว่า โคโซเดะ โมจิ
(โมจิที่เกิดจากเสื้อคลุม)
(ถ่ายทอดเรื่องราวโดย
SoRASoRa)
จากเรื่องเล่าที่เล่ากันมาปากต่อปากนั้น
ทำให้เราเห็นถึงสภาพชีวิตและสังคมของคนญี่ปุ่นในสมัยก่อนได้เลย
โดยเฉพาะคนคุมาโมโต้ เวลาผู้มีอำนาจ (แทนตัวด้วยเจ้านายคนนั้น)
เดินทางไปยังหมู่บ้านๆหนึ่ง ชีวิตเขาไม่ได้ยิ่งใหญ่ หากแต่บางทีก็ไม่มีเงิน
ลืมพกโน่นพกนี่มา หรือพกแป้งแทนที่จะเป็นเงิน
นี่อาจจะเป็นการเล่าเรื่องที่เรียกอารมณ์ขันให้แก่ชาวบ้านทั่วไปอย่างหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อได้รู้กันแล้วว่าเจ้าโคโซเดะ
โมจินี่เกิดขึ้นมาได้เพราะอะไร
ก็มาถึงคิวของส่วนผสมที่สอดไส้อยู่ภายในตัวโมจินี้กันบ้าง
โดยทั่วไปคนญี่ปุ่นมักชอบกินโมจิที่มีถั่วแดงเป็นไส้ในพร้อมกับดื่มชาตามไปด้วย
นอกจากจะเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ช่วยป้องกันความเหน็บหนาวจากอากาศภายนอก
ความหวานกับความขมที่ตัดกันยิ่งเพิ่มรสชาติความอร่อยให้ดีขึ้นอีกด้วย
ทว่ากับโคโซเดะ
โมจินี้ เราไม่อยากจะแนะนำไส้ถั่วแดงอันเป็นของกินประจำของคนญี่ปุ่นซึ่งเรารู้กันอยู่แล้ว
เพราะไหนๆก็มาถึงที่อูโตะ เมืองต้นตำรับของเจ้าโคโซเดะ โมจินี้ทั้งที
ไส้ที่เราอยากจะแนะนำก็คือ ไส้เกาลัด ถ้ามาขายที่ไทย
เกาลัดคงมีราคาแพงเป็นร้อยสองร้อย แต่เนื่องจากเกาลัดเป็นของที่หาได้ทั่วไปในอูโตะ
จึงเป็นของที่เราต้องลองสักครั้งเพื่อที่จะได้กลายเป็นชาวอูโตะขึ้นมาเต็มตัวเวลาที่เดินทางมายังที่นี่
ส่วนราคานั้นแพ็คหนึ่งมีประมาณ 10 ชิ้น อยู่ที่ 300 เยน (หรือประมาณ 90 บาท)
เหมาะสมกับคุณค่าที่คู่ควรเป็นของฝากอย่างยิ่ง
ที่สำคัญเมื่อค่อยๆเคี้ยวไปชิ้นหนึ่ง รสชาติของแป้งกับเกาลัดที่สัมผัสกันจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวนั้น
เหมือนเกาลัดลูกโตๆกำลังผ่านเข้าไปในปากไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก
ความหวานและมันทำให้ลืมรสชาติเกาลัดเมืองไทยจนหมดสิ้น...
เอาล่ะ
มาถึงตรงนี้แล้ว ผู้เขียนขออนุญาตจบลงแต่เพียงเท่านี้
ก่อนที่จะพาทั้งผู้อ่านและตัวเองหิวมากไปกว่าเดิม อย่าลืม! คุมาโมโตะ ไม่ใช่แดนดินที่ใครจะปล่อยผ่านไปได้ง่ายๆ
หยุดยาวเมื่อไหร่เมื่อนั้นเจอกันที่คุมาโมโต้!
(พบกันตอนหน้า
สวัสดี)
BEST SEASONS ทุกฤดูก็สามารถเที่ยวได้
BEST SEASONS ทุกฤดูก็สามารถเที่ยวได้
(เขียนและแปลจาก Mappuru นิตยสารท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น โดย ARARESAMA ทั้งหมด)
(เขียนและแปลจาก Mappuru นิตยสารท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น โดย ARARESAMA ทั้งหมด)
คุมาโมโต้เป็นจังหวัดที่น้อยคนนักมักจะมองผ่านหรือข้ามไป
ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะว่ามีทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นจุดเด่นของจังหวัด
อาจเทียบได้กับประเทศลาว นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังลาวนั้น ส่วนใหญ่จะไปเที่ยวน้ำตก
ภูผา ลำคลองที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติอย่างเรียบง่าย
ไม่ได้หวือหวาเหมือนน้ำตกมโหฬารอย่างไนแองการา
หรือคดเคี้ยวจนน่าอัศจรรย์ใจแบบแม่น้ำอเมซอน
คุมาโมโต้เป็นจังหวัดทางตอนใต้ที่มี
4 ฤดูเหมือนทุกๆจังหวัดในญี่ปุ่น เพียงแต่ว่าภูมิภาคคิวชูนี้ค่อนข้างมีความคล้ายเคียงกับเมืองไทยมากที่สุดแล้ว
เนื่องจากไม่มีหิมะเย็นเฉียบให้ได้เห็นกันบ่อยนักเพราะมีภูเขาสูงล้อมรอบอยู่มากมาย
มีความเขียวของต้นไม้ใบหญ้าชุ่มฉ่ำ ฝนตกเป็นประจำ แต่เงียบกว่ากรุงเทพราวน้ำกับไฟ
ในหน้าร้อนเป็นฤดูแรกที่ธรรมชาติเริ่มส่งผลผลิตอันสวยงามออกมา
โดยเริ่มต้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม อะโซะ ในอาณาเขตของเมืองโอกุนิ
และชายทะเลแถบอามาคุสะ เป็นสิ่งที่ต้องไปให้ได้ ไม่ใช่ความงามของหุบเขาอะโซะซังอย่างเดียว
น้ำใสไหลเย็นของอามาคุสะก็เปี่ยมไปด้วยพลัง ชวนให้เคลิบเคลิ้ม (คงพอจะคุ้นหูจากครั้งที่แล้ว
อะโซะซัง อย่าเพิ่งทุกข์ร้อน
เพราะเราจะนำมาเล่าในครั้งต่อไปเช่นเดียวกับอามาคุสะ)
ถัดจากหน้าร้อนก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน
ระหว่างเมือง ฮิโตะโยชิ (Hitoyoshii) และยาสุอิชิโระ
(Yatsuishiro)
สีสันของเหล่าใบเมเปิ้ลญี่ปุ่นจะแข่งกันผลิตสีแดง เหลือง และส้ม
ออกมาอย่างสว่างไสว งดงามสมกับเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัด
ซึ่งเราจะเพลิดเพลินไปพร้อมกับการชมทิวทัศน์นี้จากใต้เท้าของตัวเองโดยที่มีเพียงแค่แผ่นไม้กั้นไว้เท่านั้น! ใช่แล้ว เพราะที่นี่มีสะพานแขวน Gokanoshou การก้มลงไปดูสีสันของใบเมเปิ้ลจากใจกลางส่วนที่ลึกที่สุดของคิวชู
ด้วยความสูงจากหุบเขาพันกว่าเมตร เฮือกก แม้สะพานจะค่อนข้างแคบและยาว
แถมยังแกว่งไกวชวนใจหวิวทุกครั้งที่เหยียบไปทีละแผ่น แต่ ณ
ที่แห่งนี้เองที่คนญี่ปุ่นใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนตัวจากการรุกรานในสมัยที่เกียวโตยังเรืองอำนาจ
ฤดูสุดท้าย...
ฤดูใบไม้ผลิ เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นที่ตั้งหน้าตั้งตารอการผลิดอกของซากุระในช่วงนี้
หลังจากความหนาวเย็นในฤดูหนาว (ปลายพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์)
ที่ได้แช่แข็งพวกเขาเอาไว้อย่างเนิ่นนานแล้วนั้นได้จบสิ้นลง
การที่จะได้นั่งจิบชาชมซากุระจากใต้ต้นของซากุระเอง
ไม่ใช่แค่ความฝันของคนญี่ปุ่นเท่านั้น
นักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนถึงกับนั่งเครื่องบินเพื่อมาชมซากุระญี่ปุ่นด้วยตนเอง
เพียงเพราะมันเป็นความใฝ่ฝันของตน
วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2558
Drive Date (part1) : ความเห็นของการขับรถเดท
(เขียนและแปลโดย ARARESAMA ทั้งหมด)
▼ขับรถออกเดทเป็นอะไรที่สนุกจะตายเนอะ♡
▼การขับรถเป็นสิ่งที่คุณผู้ชายทั้งหลายๆโปรดปราน
ทั้งคุณแฟนเอง หรือคุณสามีก็ตาม ก็ต้องมีความชอบด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? แน่นอนว่าความชอบนั้นก็ต้องถนัดเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ....
cr.http://matome.naver.jp/odai/2143346461629972201
แปลและเรียบเรียง : sorasora
▼ขับรถออกเดทเป็นอะไรที่สนุกจะตายเนอะ♡
แล่นรถริมชายหาด
ชมวิวจากท้องฟ้าแสนวิเศษยามราตรีจากบนท้องถนน ไหนจะออกเดินสวีทกัน
ฟังเพลงที่ชอบด้วยกัน หยอกล้อกันไปมา
ขับรถออกเดทนี่น่าสนุกจะตายเนอะ
ถ้าพูดเรื่องเดทแล้วนี่ มีอะไรเยอะแยะให้ทำกันเลยนะ
ขับรถเดทก็นับว่าเยี่ยมเหมือนกันนะ
(จาก บทความ “ขับรถเดทน่ะ
เราจะสามารถเรียนรู้ลักษณะนิสัยอะไรหลายๆอย่างที่ยังไม่เคยรู้จากแฟนของเราได้เลยด้วยนะ”
- เว็บ Menjoy.com)
ขับรถเดทเป็นสถานที่ที่ช่วยเพิ่มความใกล้ชิดกันกันระหว่างคู่รักให้มากขึ้น
( จาก ขับรถเดทเป็นอะไรที่น่าหงุดหงิดชะมัด!
ถ้าเวลาที่เจอรถติดมากๆ แล้วเราเกิดทะเลาะกันขั้นรุนแรงล่ะ? -
คุณ งานแต่งงานของทุกๆคน)
ขับรถเดท ก็เหมือนการทำให้เดทธรรมดาของคุณน่ะกลายเป็นเดทที่ไม่ธรรมดาได้
ความรู้สึกของการเดททั่วไปน่ะจะต่างออกไปจากเดิม นี่แหละที่เรียกว่า “การขับรถเดท”
ล่ะ
(จาก
บทความ “แบบนี้ก็เป็นการโชว์ทักษะความสามารถของคุณผู้ชาย ~ ความสามารถในการขับรถเดทของคุณผู้ชาย ~ - Men’s Fashion)
▼การขับรถเป็นสิ่งที่คุณผู้ชายทั้งหลายๆโปรดปราน
ทั้งคุณแฟนเอง หรือคุณสามีก็ตาม ก็ต้องมีความชอบด้วยกันทั้งนั้นไม่ใช่เหรอ? แน่นอนว่าความชอบนั้นก็ต้องถนัดเป็นพิเศษไม่ใช่เหรอ....
ขับรถก็เป็นความสนใจอย่างหนึ่ง
เพราะเกี่ยวกับเครื่องยนต์
(จาก บทความ แนะนำ
“คนๆนี้ก็ขับรถเก่งนะ” เทคนิคการขับรถยนต์)
เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ชายก็คือควรจะขับรถได้น
ผู้หญิงมักใส่ใจกับเรื่องนี้นะ
(จาก บทความ “จริงหรือ?
คุณสมบัติอย่างหนึ่งของผู้ชายก็คือควรจะขับรถได้นะ!”
– ผู้ชายเนื้อหอมที่สาวๆจะตกหลุมรัก )
ใบหน้าตอนขับรถของผู้ชายนี่
มีเสน่ห์อยู่นะ
(จาก บทความ “เสียงของผู้หญิง”
“ผู้ชายที่ขับรถไม่ได้” และ “ผู้ชายที่ขับรถแข็งไป” เลือกอย่างไหนดีล่ะ?)
cr.http://matome.naver.jp/odai/2143346461629972201
แปลและเรียบเรียง : sorasora
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)