หน้าเว็บ

PLACE


(เขียนและแปลจาก Mappuru นิตยสารท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น โดย ARARESAMA ทั้งหมด)


แอบเล่าก่อนไป(เล่า)จริง




            สี่สถานที่อันโด่งดังของจังหวัดคุมาโมโต้ที่ได้เกริ่นไปในตอนต้น ที่มีผลทำให้คุมาโมโต้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ก็คงไม่พ้น อะโซะซัง ภูเขาไฟลูกใหญ่กับอาณาบริเวณที่กว้างขวาง ฮิโตะโยชิ เมืองแห่งสีสันของใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ผลิ คุมาโมโตะ เมืองแห่งประวัติศาสตร์ ปราสาทหินแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น และ อามาคุสะ แหล่งรวมอารยธรรมซีกโลกตะวันออกกับซีกโลกตะวันตกเข้าไว้ด้วยกัน เมืองสวรรค์ของผู้ชื่นชอบทะเล ภูเขา หมู่แมกไม้ และอากาศบริสุทธิ์สบาย


อะโซะซัง ดินแดนแห่งภูเขาไฟที่มีความหลากหลายไปด้วยนานาสรรพสิ่งมีชีวิต ทั้งต้นไม้และสัตว์ มีธรรมชาติคลอบคลุมบริเวณโดยกว้าง เพราะตั้งอยู่บนแผ่นของเปลือกโลกที่เคยมีการเคลื่อนไหวแล้วปะทุออกมาเมื่อหลายหมื่นปีก่อน ทำให้มีชื่อเสียงด้านอาหารการเพาะปลูก (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Kumamoto หนึ่งในเจแปน) ตลอดจนการท่องเที่ยวที่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ


            ฮิ โตะโยชิ เป็นเมืองเก่าแก่ที่มีอายุถึง 700 ปี ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของจังหวัดที่น้อยคนนักให้ความสนใจโดยเฉพาะนักท่องเที่ยว แต่เพราะเป็นคิวชู ดินแดนที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอทางประวัติศาสตร์ ทำให้หลายคนเริ่มให้ความสนใจกันมากขึ้นเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง นอกจากใบไม้และหุบเขาที่ลึกที่สุด ใจกลางของเกาะคิวชูแล้ว ก็ไม่ควรพลาดความท้าทายบนแม่น้ำคุมะ ซึ่งอยู่ระหว่างเขตเมืองยาสุอิชิโระและฮิโตะโยชิด้วยการล่องแพท้าความเร็ว และความเย็นของสายน้ำเพื่อชมธรรมชาติ


คุมาโมโต้ ศูนย์กลางของจังหวัดเปรียบเหมือนเมืองหลวงที่มีความงดงาม มีอดีตที่ยาวนานนับตั้งแต่สมัยเอโดะที่ได้เริ่มให้มีการนำหินแกรนิตจำนวนถึง 5,400,000 ก้อน มาก่อร่างสร้างตัวเป็นปราสาทอันโด่งดังในปัจจุบันนี้ แถมด้วยระหว่างทางที่ไปยังตัวปราสาท ยังมีร้านรวงเรียงรายเพิ่มเข้ามา ซึ่งเกือบทั้งหมดจะเป็นของฝากที่รอให้เหล่านักท่องเที่ยวเข้าไปจับจองเพื่อเป็นเจ้าของมรดกทางวัฒนธรรมอันงดงามจากดินแดนแห่งนี้


อา มาคุสะ เมืองทางใต้อีกเมืองหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายเกาะ มีอาณาเขตกว้างขวางที่ติดกับทะเลและมีเกาะเล็กเกาะน้อยอีกถึง120เกาะ ซึ่งเชื่อมด้วยสะพานอีกถึง 5 สะพานในการเชื่อมระหว่างเกาะกับเกาะ เกาะกับแผ่นดินใหญ่ที่รอให้เราได้ข้ามไปเยือนความงดงามกับกลิ่นอายแห่งท้อง ทะเล สวรรค์แดนใต้ของเมืองน้องหมีแห่งนี้...




BEST SEASONS ทุกฤดูก็สามารถเที่ยวได้
(เขียนและแปลจาก Mappuru นิตยสารท่องเที่ยวของประเทศญี่ปุ่น โดย ARARESAMA ทั้งหมด)

            คุมาโมโต้เป็นจังหวัดที่น้อยคนนักมักจะมองผ่านหรือข้ามไป ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะว่ามีทรัพยากรธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นจุดเด่นของจังหวัด อาจเทียบได้กับประเทศลาว นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปยังลาวนั้น ส่วนใหญ่จะไปเที่ยวน้ำตก ภูผา ลำคลองที่ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติอย่างเรียบง่าย ไม่ได้หวือหวาเหมือนน้ำตกมโหฬารอย่างไนแองการา หรือคดเคี้ยวจนน่าอัศจรรย์ใจแบบแม่น้ำอเมซอน

            คุมาโมโต้เป็นจังหวัดทางตอนใต้ที่มี 4 ฤดูเหมือนทุกๆจังหวัดในญี่ปุ่น เพียงแต่ว่าภูมิภาคคิวชูนี้ค่อนข้างมีความคล้ายเคียงกับเมืองไทยมากที่สุดแล้ว เนื่องจากไม่มีหิมะเย็นเฉียบให้ได้เห็นกันบ่อยนักเพราะมีภูเขาสูงล้อมรอบอยู่มากมาย มีความเขียวของต้นไม้ใบหญ้าชุ่มฉ่ำ ฝนตกเป็นประจำ แต่เงียบกว่ากรุงเทพราวน้ำกับไฟ

ในหน้าร้อนเป็นฤดูแรกที่ธรรมชาติเริ่มส่งผลผลิตอันสวยงามออกมา โดยเริ่มต้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมไปจนถึงเดือนตุลาคม อะโซะ ในอาณาเขตของเมืองโอกุนิ และชายทะเลแถบอามาคุสะ เป็นสิ่งที่ต้องไปให้ได้ ไม่ใช่ความงามของหุบเขาอะโซะซังอย่างเดียว น้ำใสไหลเย็นของอามาคุสะก็เปี่ยมไปด้วยพลัง ชวนให้เคลิบเคลิ้ม (คงพอจะคุ้นหูจากครั้งที่แล้ว อะโซะซัง อย่าเพิ่งทุกข์ร้อน เพราะเราจะนำมาเล่าในครั้งต่อไปเช่นเดียวกับอามาคุสะ)

ถัดจากหน้าร้อนก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน ระหว่างเมือง ฮิโตะโยชิ (Hitoyoshii) และยาสุอิชิโระ (Yatsuishiro) สีสันของเหล่าใบเมเปิ้ลญี่ปุ่นจะแข่งกันผลิตสีแดง เหลือง และส้ม ออกมาอย่างสว่างไสว งดงามสมกับเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ของจังหวัด ซึ่งเราจะเพลิดเพลินไปพร้อมกับการชมทิวทัศน์นี้จากใต้เท้าของตัวเองโดยที่มีเพียงแค่แผ่นไม้กั้นไว้เท่านั้น! ใช่แล้ว เพราะที่นี่มีสะพานแขวน Gokanoshou การก้มลงไปดูสีสันของใบเมเปิ้ลจากใจกลางส่วนที่ลึกที่สุดของคิวชู ด้วยความสูงจากหุบเขาพันกว่าเมตร เฮือกก แม้สะพานจะค่อนข้างแคบและยาว แถมยังแกว่งไกวชวนใจหวิวทุกครั้งที่เหยียบไปทีละแผ่น แต่ ณ ที่แห่งนี้เองที่คนญี่ปุ่นใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนตัวจากการรุกรานในสมัยที่เกียวโตยังเรืองอำนาจ

ฤดูสุดท้าย... ฤดูใบไม้ผลิ เช่นเดียวกับคนญี่ปุ่นที่ตั้งหน้าตั้งตารอการผลิดอกของซากุระในช่วงนี้ หลังจากความหนาวเย็นในฤดูหนาว (ปลายพฤศจิกายนถึงกุมภาพันธ์) ที่ได้แช่แข็งพวกเขาเอาไว้อย่างเนิ่นนานแล้วนั้นได้จบสิ้นลง การที่จะได้นั่งจิบชาชมซากุระจากใต้ต้นของซากุระเอง ไม่ใช่แค่ความฝันของคนญี่ปุ่นเท่านั้น นักท่องเที่ยวต่างชาติบางคนถึงกับนั่งเครื่องบินเพื่อมาชมซากุระญี่ปุ่นด้วยตนเอง เพียงเพราะมันเป็นความใฝ่ฝันของตน

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น